อะไรคือ Disaster Recovery และจะทำได้อย่างไรใน AWS
คลาวด์คอมพิวติ้ง
การกู้คืนภัยพิบัติ (Disaster Recovery) คือกระบวนการเตรียมความพร้อมและกู้คืนจากเหตุการณ์ใด ๆ ที่ป้องกันไม่ให้เวิร์กโหลดหรือระบบปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ทางธุรกิจในสถานที่หลักที่ปรับใช้ เช่น ไฟฟ้าดับ เหตุการณ์ทางธรรมชาติ หรือปัญหาด้านความปลอดภัย
AWS นำเสนอโซลูชันการกู้คืนภัยพิบัติที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันของตนจากภัยพิบัติได้ โซลูชันเหล่านี้รวมถึง:
- AWS Elastic Disaster Recovery (AWS DRS): เป็นโซลูชันการจำลองแบบแบบต่อเนื่องที่ช่วยให้องค์กรสามารถจำลองแบบข้อมูลและแอปพลิเคชันไปยัง AWS ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ AWS DRS ช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนแอปพลิเคชันของตนได้ภายในไม่กี่นาที
- AWS Disaster Recovery Service (AWS DRS): เป็นบริการการกู้คืนภัยพิบัติแบบครบวงจรที่ช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนแอปพลิเคชันของตนจากความเสียหายหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ AWS DRS จัดการกระบวนการกู้คืนทั้งหมด รวมถึงการจำลองแบบ การทดสอบ และการกู้คืน
- AWS Backup: เป็นบริการการสำรองข้อมูลและกู้คืนที่ช่วยให้องค์กรสามารถสำรองข้อมูลและกู้คืนจากความเสียหายได้ AWS Backup รองรับการสำรองข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ ฐานข้อมูล และไฟล์
การเลือกโซลูชันการกู้คืนภัยพิบัติที่เหมาะสมสำหรับองค์กรนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงประเภทของเวิร์กโหลดและแอปพลิเคชันที่องค์กรต้องการปกป้อง ระดับของการปกป้องที่องค์กรต้องการ และงบประมาณขององค์กร
จุดประสงค์ของ Disaster Recovery in AWS
จุดประสงค์ของ Disaster Recovery in AWS คือเพื่อให้องค์กรสามารถกู้คืนข้อมูลและแอปพลิเคชันของตนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เหตุการณ์ภัยพิบัติอาจรวมถึง:
- ไฟไหม้
- น้ำท่วม
- พายุ
- ภัยธรรมชาติอื่นๆ
- การโจมตีทางไซเบอร์
- การหยุดชะงักของบริการจากผู้ให้บริการ
การกู้คืนภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด เพราะช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้แม้หลังจากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ
ขั้นตอนของ Disaster Recovery in AWS
กระบวนการกู้คืนภัยพิบัติใน AWS ประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
การวางแผน: ขั้นตอนแรกคือการวางแผนการกู้คืนภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงการกำหนดเป้าหมาย RPO (Recovery Point Objective) และ RTO (Recovery Time Objective) ขององค์กร RPO คือระยะเวลาสูงสุดที่องค์กรสามารถยอมรับได้ในการสูญเสียข้อมูล และ RTO คือระยะเวลาสูงสุดที่องค์กรสามารถยอมรับได้ในการกู้คืนระบบ
การจำลองแบบ: ขั้นตอนถัดไปคือการจำลองข้อมูลและแอปพลิเคชันไปยัง AWS การจำลองแบบช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ AWS DRS และ AWS DRS เป็นบริการการจำลองแบบแบบต่อเนื่องที่ช่วยให้องค์กรสามารถจำลองข้อมูลและแอปพลิเคชันไปยัง AWS ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การทดสอบ: ขั้นตอนถัดไปคือการทดสอบการกู้คืนภัยพิบัติ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าจะสามารถกู้คืนระบบได้จริง AWS DRS และ AWS DRS ช่วยให้องค์กรสามารถทดสอบการกู้คืนภัยพิบัติได้อย่างง่ายดาย
การฝึกซ้อม: ขั้นตอนสุดท้ายคือการฝึกซ้อมการกู้คืนภัยพิบัติ ซึ่งช่วยให้พนักงานขององค์กรเข้าใจกระบวนการกู้คืนภัยพิบัติ AWS DRS และ AWS DRS ช่วยให้องค์กรสามารถฝึกซ้อมการกู้คืนภัยพิบัติได้เป็นประจำ
ข้อดีของ Disaster Recovery in AWS
AWS นำเสนอโซลูชันการกู้คืนภัยพิบัติที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันของตนจากภัยพิบัติได้ โซลูชันเหล่านี้มีข้อดีหลายประการ รวมถึง:
- ความยืดหยุ่น: AWS นำเสนอโซลูชันการกู้คืนภัยพิบัติที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการของตนได้
- ความน่าเชื่อถือ: AWS นำเสนอศูนย์ข้อมูลที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งจะช่วยปกป้องข้อมูลและแอปพลิเคชันขององค์กรจากภัยพิบัติ
- ประสิทธิภาพ: AWS นำเสนอบริการการจำลองแบบและกู้คืนภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว
สรุป
Disaster Recovery in AWS เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด เพราะช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้แม้หลังจากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติ AWS นำเสนอโซลูชันการกู้คืนภัยพิบัติที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถเลือกโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการของตนได้